วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

การผ่าตัดมดลูกด้วยวิวัฒนาการใหม่



การผ่าตัดมดลูกด้วยวิวัฒนาการใหม่ (Laparoscopic Hysterectomy)



          ในแต่ละปีมีผู้หญิงไทยไม่น้อยกว่า 4 หมื่นราย จะถูกตัดมดลูกออกไป และ 80% ของผู้ป่วยมีอายุระหว่าง 40 ถึง 59 ปี จึงถือได้ว่าการตัดมดลูกเป็นงานประจำที่สูตินรีแพทย์ต้องปฏิบัติอยู่เสมอเนื่องจาก โรคที่เกิดขึ้นที่มดลูกหรือความผิดปกติที่จำเป็นต้องตัดมดลูกมีอยู่หลายสาเหตุ         ปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้การตัดมดลูกนี้เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง คนไข้เจ็บตัวน้อยลง และมีระยะเวลาฟื้นตัวเร็ว สามารถผ่าตัดมดลูกออกผ่านทางรูเล็กๆขนาด 1 เซนติเมตร โดยไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ที่หน้าท้องได้อย่างง่ายดาย

        มดลูก คืออวัยวะสำหรับทำหน้าที่ในการตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ


 http://www.school.net.th/library/create-web/10000/technology/10000-422/pic1.jpegตัวมดลูก เป็นส่วนที่ส่วนที่ใหญ่ที่สุด มีหน้าที่ห่อหุ้มตัวอ่อนเวลาตั้งครรภ์ มีเยื่อบุมดลูกอยู่ภายใน สำหรับให้ตัวอ่อนฝังตัวเกาะอยู่ และชั้นกล้ามเนื้อมดลูกอยู่ภายนอก
ปากมดลูก  ส่วนล่างลงมา มีหน้าที่เป็นทางเข้าออกเชื่อมต่อระหว่างโพรงมดลูกและช่องคลอด 
ท่อนำไข่ มี 2 ข้าง ทำหน้าที่เป็นที่ปฏิสนธิของไข่และอสุจิ และเป็นท่อลำเลียงตัวอ่อนเข้ามาในโพรงมดลูก            

          ส่วนอวัยวะอื่นที่ไม่ใช่มดลูกแต่ติดอยู่กับมดลูก คือ รังไข่ มี 2 ข้าง ซ้าย - ขวา ทำหน้าที่ 2 อย่าง คือผลิตเซลล์ไข่ และผลิตฮอร์โมนเพศสตรี เพื่อให้ร่างกายและจิตใจคงความเป็นสตรีที่สมบูรณ์

ความหมายของคำว่า “ตัดมดลูก” 

          คำว่า “ตัดมดลูก” โดยทั่ว ๆ ไป หมายถึง การตัดเอามดลูกและปากมดลูกออก แต่ในทางการแพทย์อาจแบ่งออก เป็นสามประการคือ
  1. การตัดมดลูกและปากมดลูกออก (Total Hysterectomy) เหลือรังไข่ไว้ 1 ข้างหรือทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้คงการทำงานที่สร้างฮอร์โมนของรังไข่ไว้ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเข้าสู่ภาวะวัยทองตามธรรมชาติ
  1. ตัดเฉพาะส่วนของมดลูกเหลือปากมดลูกไว้ (Subtotal Hysterectomy) วิธีนี้ทำน้อยมาก อาจจะทำในกรณีที่การตัดปากมดลูกเอาออกยาก บางคนเชื่อว่าการคงเก็บปากมดลูกไว้จะช่วยป้องกันการหย่อนของช่องคลอดที่เหลืออยู่ และอาจเกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางเพศของสตรี มีการศึกษาพบว่า การตัดแบบเหลือปากมดลูกไว้ ทำได้ง่ายกว่าตัดมดลูกและปากมดลูกทั้งหมด อย่างไรก็ตามกรณีที่มีปากมดลูกเหลืออยู่ ก็มีโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เหมือนเดิม ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจมะเร็งปากมดลูกประจำปีเหมือนปกติ
  1. การตัดมดลูกเหมือนแบบที่ 1 หรือ แบบที่ 2 แต่เอารังไข่ออกไปด้วยทั้ง 2 ข้าง (Total Abdominal Hysterectomy-Bilateral Salpingo-Oopherectomy) ความแตกต่างของแบบนี้ จาก 2 แบบแรก คือจะไม่มีรังไข่สำหรับผลิตฮอร์โมนเพศ โดยเฉพาะที่สำคัญคือ เอสโตรเจน (Estrogen) อยู่อีกต่อไป มักจะทำในกรณีที่อายุมากแล้ว รังไข่หมดหน้าที่แล้ว หรือรังไข่มีพยาธิสภาพ หรือมีเนื้องอกมะเร็งที่อื่น ที่ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะไปทำให้มันลุกลามมากขึ้น วิธีการนี้จะทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน เหมือนกับคนที่หมดระดูแล้ว ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงการให้ฮอร์โมนทดแทนต่อไป

สำหรับวิธีการผ่าตัดมดลูก มี 3 วิธี คือ
  1. การผ่าตัดทางหน้าท้อง (Total Abdominal Hysterectomy) เป็นวิธีผ่าตัดที่ทำกันเป็นส่วนใหญ่เพราะทำได้ง่าย คือ การกรีดแผลที่หน้าท้องยาว 6 - 8 นิ้ว และใช้เครื่องมือถ่างขยายเปิดหน้าท้อง และทำการผ่าตัดเอามดลูกออกทางหน้าท้อง แล้วจึงเย็บปิด แผลที่เกิดขึ้นทางหน้าท้องจะเหมือนกับแผลผ่าตัดคลอด ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการผ่าตัดตามแนว บิกีนีไลน์ เพื่อความสวยงามของหน้าท้อง แต่บาดแผลที่ยาวถึง 6 - 8 นิ้ว ก็ส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด และต้องพักฟื้นร่างกายนาน 1-2 สัปดาห์ กว่าจะเริ่มทำงานเบาๆได้ และอาจต้องใช้เวลานานเป็นเดือนกว่าจะสามารถมีกิจวัตรประจำวันกลับมาเป็นปกติ
  1. การผ่าตัดทางช่องคลอด (Vaginal Hysterectomy) คือ การเอาก้อนมดลูกผ่านทางช่องคลอด วิธีนี้ไม่มีแผลทางหน้าท้อง แต่ทำยากกว่าวิธีแรก และมีข้อจำกัด เนื่องจากขนาดของช่องคลอด และความผิดปกติบางอย่างมีผลทำให้ไม่สามารถทำวิธีนี้ได้ เช่น มีก้อนเนื้องอกที่มดลูกขนาดใหญ่หรือจำนวนมาก มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และมีพังผืดในช่องท้องที่เกิดจากการได้รับการผ่าตัดช่องท้องในอดีต แพทย์มักเลือกทำกรณีที่มีมดลูกหย่อน มดลูกมีขนาดเล็กและไม่มีพังผืดในช่องท้อง แต่ข้อดีของวิธีนี้ คือ ความเจ็บปวดน้อยกว่า ภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า และระยะฟื้นตัวสั้นกว่าวิธีแรก
  1. การผ่าตัดโดยใช้กล้องส่องช่องท้อง (Laparoscopic Hysterectomy) คือการเจาะช่องท้องเป็นรูเล็ก ๆ 3  รู แล้วใช้เครื่องมือพิเศษเข้าไปตัดมดลูก แบ่งออกเป็นอีกสองวิธีย่อย
  1. เมื่อตัดมดลูกแล้วนำมดลูกออกทางช่องคลอด (Laparoscopy-assisted vaginal hysterectomy)
  1. เมื่อตัดมดลูกแล้วใช้เครื่องมือย่อยเอามดลูกออกทางรูเล็ก ๆ ทางหน้าท้อง (Total Laparoscopic Hysterectomy) วิธีนี้ทำได้แม้มดลูกไม่หย่อน หรือมดลูกมีขนาดใหญ่ หรือมีก้อนเนื้องงอกขนาดใหญ่

ข้อดีของการผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง (Total Laparoscopic Hysterectomy) 

            การผ่าตัดโดยใช้กล้องส่องลงไปในช่องท้อง โดยการเจาะช่องท้องเป็นรูเล็ก ๆ 3 รู แล้วใช้เครื่องมือพิเศษที่มีวิวัฒนาการทางการแพทย์อันทันสมัย ช่วยให้แพทย์สามารถนำมดลูกทั้งอันย่อยออกมาผ่านแผลเล็กๆยาวเพียง 1 เซนติเมตรเท่านั้น วิวัฒนาการทั้งในด้านเทคนิคและเครื่องมือต่างๆ ส่งผลให้การผ่าตัดมดลูกผ่านกล้องนั้น มีผลลัพท์ที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งทางด้านความปลอดภัยสูงขึ้น ภาวะแทรกซ้อนที่น้อยลง และการฟื้นตัวเร็ว หลังจากการผ่าตัดผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องนอนพักในโรงพยาบาล ถ้าในกรณีที่มีพยาธิสภาพมากก็สามารถพักผ่อนในโรงพยาบาลหลังผ่าตัดเพียงประมาณ 1-2 วัน เท่านั้น และสามารถกลับไปทำงานใด้ใน 3 – 4 วัน นอกจากนี้ยังสามารถลดความเจ็บปวดจากบาดแผลที่เล็กลงมาก             นอกจากนี้การผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง (Total Laparoscopic Hysterectomy) ยังสามารถทำการผ่าตัดได้ในหลายกรณี แม้ในกรณีที่วิธีที่ 2 ทำไม่ได้ ข้อเสียคือต้องใช้ เครื่องมือพิเศษ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสูงกว่า แต่ค่าใช้จ่ายในการพักฟื้นที่มีจำนวนวันสั้นกว่าจึงมีราคาต่ำกว่า

ข้อบ่งชี้ของการผ่าตัดมดลูก 

             เนื้องอกมดลูก เป็นความผิดปกติที่พบได้มากที่สุด เปรียบได้ว่าในสตรี 1 ใน 3 คนจะเป็นเนื้องอกมดลูก แต่ใช่ว่าเป็นเนื้องอกทุกรายต้องตัดมดลูกออก เนื้องอกขนาดเล็ก และไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาจไม่ต้องทำการผ่าตัด แต่ถ้าเนื้องอกมีขนาดใหญ่ หรือมีผลกระทบให้มี เลือดออก หรือไปกดทับอวัยวะข้างเคียง ก็จำเป็นต้องผ่าตัดมดลูกออกสภาวะที่มีความผิดปกติกับเยื่อบุโพรงมดลูก หรือมีเลือดออกที่รักษาด้วยยาไม่หายก็จะพิจารณาผ่าตัดเอามดลูกออก และภาวะพังผืดที่ยึดติดระหว่างมดลูกและอวัยวะในช่องเชิงกรานกับลำไส้ความผิดปกติที่ปากมดลูกบางชนิดก็เป็นเครื่องบ่งชี้ในการที่จะตัดมดลูกออก โดยเฉพาะการกลายเป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกระยะเริ่มต้น

จะมีผลอย่างไรหลังการผ่าตัดมดลูกผ่านกล้อง 

           หลังผ่าตัดจะไม่มีประจำเดือน และไม่สามารถมีลูกได้แต่รังไข่ก็ยังมีการสร้างฮอร์โมน และตกไข่ได้เป็นรอบ ๆ เช่นเดิม ร่างกายยังคงแข็งแรง ผิวพรรณยังคงสดใสเนื่องจากยังมีฮอร์โมนเหมือนปกติ ความรู้สึกทางเพศโดยทั่วไปไม่เปลี่ยนแปลง และการกลับไปทำงานสามารถทำงานเบา ๆ ได้ภายใน 3 – 4 วัน และสามารถออกกำลังกายได้หลังการผ่าตัด 1 เดือน

กรณีที่รังไข่ถูกตัดออกไปพร้อมกับมดลูก 

           การตัดรังไข่ออกไปจะทำให้ฮอร์โมนของรังไข่หายไปด้วย ทำให้เกิด “ภาวะวัยทอง” (MENOPAUSE) ซึ้งอาการอาจเกิดขึ้นรุนแรงกว่าการหมดระดูตามธรรมชาติ เพราะตามธรรมชาติจะขาดฮอร์โมนแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่หมดทันทีทันใด ทำให้ร่างกายปรับตัวตามสภาพ แต่เมื่อมีการตัดรังไข่ออกไปด้วย จะส่งผลให้ร่างกายขาดฮอร์โมนทันที และอาจมีอาการ ร้อนวูบวาบเนื้อตัว นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เหนื่อยอ่อน และอาการซึมเศร้า และส่งผลในระยะยาว คือ มีภาวะกระดูกบาง กระดูกกร่อน ช่องคลอดแห้งบาง เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ ความสนใจทางเพศลดลง กระเพาะปัสสาวะแห้ง อักเสบง่าย และอุบัติการณ์เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมีมากขึ้นอาการต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว เกิดจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่ การป้องกันคือการได้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทนซึ่งมีทั้งชนิด รับประทาน และครีมทาผิว การออกกำลังกายและการรับประทานแคลเซียมเสริม ก็มีส่วนสำคัญในการป้องกันกระดูกพรุน ส่วนการได้รับยาเมื่อไร อย่างไร นานเท่าไร ควรจะปรึกษากับแพทย์ที่ดูแล หลักการคือให้เร็วที่สุดขนาดยาที่พอเหมาะและให้นานที่สุด ถ้าหยุดยาเมื่อไร ผลจากการขาดฮอร์โมนก็จะเกิดขึ้นใหม่ ดังนั้นถ้าผู้ป่วยคิดจะหยุดยาควรปรึกษากับแพทย์ที่ดูแลก่อนเสมอ
x

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น